อัปเดตเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2023
การววิเคราะห์ประสิทธิภาพของสินทรัพย์ทำได้สองวิธี การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะใช้ตัวชี้วัดเพื่อคาดการณ์เกี่ยวกับราคาในอนาคตอ้างอิงตามความเคลื่อนไหวและปริมาณของสินทรัพย์ในอดีต การวิเคราะห์ประเภทนี้มักใช้ร่วมกับการวิเคราะห์พื้นฐาน
การวิเคราะห์พื้นฐานคือวิธีวัดค่ามูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์โดยดูจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเงินที่เกี่ยวข้อง
☝️
แม้ว่าจะฟังดูไม่ซับซ้อน แต่ค่อนข้างยากที่จะทำความเข้าใจปัจจัยที่นักเทรดควรประเมินเพื่อสร้างความเห็นที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมูลค่าของหลักทรัพย์
เชิงปริมาณเทียบกับเชิงคุณภาพ
ปัจจัยเศรษฐกิจทั้งหมดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ปัจจัยพื้นฐานเชิงปริมาณหมายถึงทุกสิ่งที่สามารถนำเสนอเป็นตัวเลข ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นคุณลักษณะที่วัดค่าได้ของธุรกิจหรือด้านนั้นๆ คุณลักษณะเชิงคุณภาพมุ่งเน้นไปที่คุณภาพของเทคโนโลยี การจดจำชื่อแบรนด์ ผู้บริหารหลักและคุณลักษณะอื่นๆ ของบริษัท ซึ่งอาจมีความชัดเจนน้อยกว่าแต่ก็มีความสำคัญ
มาดูที่ปัจจัยสำคัญที่คุณอาจต้องพิจารณาเมื่อต้องการเทรดหุ้น
วิเคราะห์หุ้นอย่างไร
การใช้งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสดของบริษัทจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจมูลค่าหุ้นได้ นักวิเคราะห์พื้นฐานใช้ข้อมูลการวิเคราะห์หุ้นเพื่อทำความเข้าใจสถานะของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เศรษฐกิจและคู่แข่ง
แม้ว่าปัจจัยบางอย่างอาจถือได้ว่า “สำคัญกว่า” เช่น รายได้ของบริษัท แต่ในความเป็นจริงแล้วนักเทรดจำเป็นต้องประเมินบริษัทโดยรวมเพื่อทำการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลที่ดี ทั้งปัจจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณสามารถเปลี่ยนสถานการณ์และมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของหุ้นได้
ปัจจัยเชิงคุณภาพ
ปัจจัยเชิงคุณภาพที่สำคัญบางประการที่เราอาจพิจารณาเมื่อซื้อหรือขายหุ้น เช่นเดียวกับการเทรด CFD ของหุ้น ได้แก่
- มเดลธุรกิจของบริษัท บริษัทเชี่ยวชาญด้านใดเป็นพิเศษ สาเหตุใดที่ทำให้บริษัทได้เงินหรือสูญเสียเงิน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจสถานะของบริษัทในตลาดเพื่อประเมินผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า
- การแข่งขัน บริษัทมีข้อได้เปรียบการแข่งขันหรือไม่ บริการมีลักษณะเฉพาะหรือไม่ บางบริษัทสามารถดำรงอยู่ในอุตสาหกรรม เมื่อบริษัทสามารถกีดกันคู่แข่งไว้ได้ก็จะช่วยให้บริษัทตลอดจนผู้ถือหุ้นมีความสุขกับการเติบโตและสร้างผลกำไรระยะยาว เมื่อประเมินบริษัทในขั้นตอนนี้ พยายามทำตัวเป็นกลาง ไม่ให้ความได้เปรียบกับบริษัทที่คุณชอบเป็นการส่วนตัว
- การจัดการและสไตล์การจัดการของบริษัท ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกบริษัท และการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลการดำเนินงานทั้งในทางที่ดีและทางที่ไม่ดี
- อุตสาหกรรม ลองย้อนกลับไปและประเมินอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินงานโดยรวม บริษัทมีศักยภาพในอุตสาหกรรมหรือไม่ ปีหน้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็ก สถานะในอุตสาหกรรมคือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อบริษัทมากที่สุด
ปัจจัยเชิงปริมาณ
ปัจจัยเชิงปริมาณพื้นฐานที่สำคัญบางประการแสดงในอัตราส่วนต่อไปนี้
- EPS (รายได้ต่อหุ้น) ตัวเลขนี้จะระบุผลกำไรของบริษัทหารด้วยจำนวนหุ้น EPS ยิ่งสูง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยิ่งมาก
- อัตราส่วน P/E อัตราส่วนการประเมินมูลค่าที่สำคัญนี้เปรียบเทียบ EPS กับมูลค่าปัจจุบันของหุ้น กรณีที่ P/E สูง อาจเป็นสัญญาณว่าหุ้นมีมูลค่าสูงเกินไป หากอัตราส่วน P/E ต่ำ อาจส่งสัญญาณว่าบริษัทมีมูลค่าต่ำเกินไปหรือเป็นการลงทุนที่ไม่น่าสนใจ
- PEG (ราคาต่อการเติบโตของกำไร) คำนวณโดยการหารอัตราส่วน P/E ของบริษัทด้วยอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นต่อปี อัตราส่วนนี้ใช้ประเมินประสิทธิภาพของบริษัทในช่วงเวลาหนึ่ง
- ROA (อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์) ROA คำนวณโดยการหารรายได้รวมของบริษัทด้วยสินทรัพย์รวม แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีประสิทธิภาพเพียงใดในการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นรายได้
- ROE (อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น) อัตราส่วนนี้วัดว่าบริษัทมีรายได้คืนให้กับผู้ถือหุ้นได้ดีเพียงใด
วิธีเรียนรู้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
บริษัทมหาชนเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของตนต่อสาธารณะ ดังนั้นข้อมูลดังกล่าวจึงมักเผยแพร่ทางออนไลน์ หากต้องการดูรายงานรายได้ของบริษัท ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างการจัดการและรายละเอียดอื่นๆ คุณควรเข้าไปที่เว็บไซต์ทางการของบริษัท รายงานรายได้มักถูกประกาศตามกำหนดการ ดังนั้นคุณสามารถค้นหาข้อมูลนี้ได้ในปฏิทินเศรษฐกิจ
ข่าวสามารถเป็นแหล่งที่มาของข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับสินทรัพย์ต่างๆ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการใช้ปฏิทินเศรษฐกิจสำหรับการเทรด ลองดูวิดีโอนี้
สรุป
ในการประเมินหุ้นมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ควรพิจารณา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความละเอียดรอบคอบของนักเทรดเอง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานหลักเหล่านี้เพียงพอแล้วสำหรับภาพรวม เพื่อเลือกสินทรัพย์ที่มีผลงานดีและเหมาะกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ