หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “แนวโน้มคือเพื่อนคนสำคัญ“ ที่ช่วยให้สามารถทำกำไรได้หากทำตามแนวโน้ม ลองคิดดูว่าจะดีแค่ไหนถ้าสามารถลบสัญญาณรบกวนทั้งหมดออกจากแนวโน้มระยะยาวเพื่อมุ่งเน้นที่รอบสั้นๆ การใช้ตัวชี้วัด Detrended Price Oscillator (DPO) เป็นเหมือนการซูมดูรายละเอียดในขณะที่คนอื่นกำลังซูมออก
นี่คือทุกสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับ DPO และวิธีการใช้งาน
DPO คืออะไร?
หน้าที่ของ Detrended Price Oscillator คือลบอิทธิพลของแนวโน้มระยะยาวออกจากข้อมูลราคา แล้วทำไมต้องทำแบบนี้? การเทรดไม่ใช่การติดตามแนวโน้มเหรอ?
ดูเหมือนว่าบางครั้งแนวโน้มก็กลายเป็นอุปสรรค ตอนที่กำลังพยายามหาคำตอบว่าแนวโน้มจะอยู่ได้นานแค่ไหนหรือแนวโน้มจะกลับตัวเมื่อไร ข้อมูลรบกวนที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มทั้งหมดอาจบดบังการตัดสินใจได้ ตัวชี้วัด DPO จะลบแนวโน้มออกไป ช่วยให้โฟกัสกับรอบราคาระยะสั้น ทำให้สามารถมองหารูปแบบได้ง่ายขึ้น
หลักการทำงานของ DPO เป็นการสร้างเส้นโค้งที่คล้ายกับกราฟราคาแต่ไม่มีแนวโน้มโดยรวม ซึ่งจะใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ย้ายไปทางซ้าย และเปรียบเทียบราคาในอดีตกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ทำให้มองเห็นความผันผวนของราคาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
วิธีการตั้งค่าตัวชี้วัด DPO
- ค้นหาแผงตัวชี้วัด – มองหาปุ่ม “ตัวชี้วัด” ที่มุมล่างซ้ายของห้องเทรด
- เลือก DPO – ไปที่แท็บ “โมเมนตัม” และเลือก “DPO” จากรายการ
- ปรับการตั้งค่า (ไม่จำเป็น) – ใช้การตั้งค่าเริ่มต้นหรือปรับแต่งช่วงเวลาและเส้นฐาน หากต้องการให้มีความอ่อนไหวกับการเคลื่อนไหวระยะสั้นมากขึ้น ให้ลดช่วงเวลา หากต้องการลดสัญญาณหลอก ให้เพิ่มช่วงเวลา
- คลิก “นำไปใช้งาน” เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย
วิธีการใช้ตัวชี้วัด DPO ในการเทรด
เมื่อตั้งค่า DPO พร้อมแล้วก็จะมาพูดถึงการใช้งาน ตัวชี้วัด DPO จะวัดความแตกต่างระหว่างราคาในอดีตและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เปลี่ยนแปลง
- เมื่อราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ย DPO จะเป็นบวก
- เมื่อราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย DPO จะเป็นลบ
การนำตัวชี้วัด DPO ไปใช้งานมีดังนี้
1. การเทรดระยะสั้น
ตัวชี้วัด DPO เป็นเพื่อนซี้สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้นที่ไม่สนใจแนวโน้มระยะยาว การโฟกัสความผันผวนของราคาระยะสั้นจะช่วยให้ได้รับประโยชน์ดังนี้
- มองเห็นขอบเขตความเคลื่อนไหวของราคาปัจจุบัน
- มองเห็นจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในรอบสั้นๆ
ตัวอย่าง สมมติว่ากำลังเทรดกราฟ 1 ชั่วโมง ให้ตรวจสอบ DPO ก่อนทำการเทรด หากตัดเหนือเส้นศูนย์ อาจเป็นไปได้ว่าถึงเวลาขาย หากตัดต่ำกว่าเส้นศูนย์ ให้พิจารณาซื้อ
2. ประเมินความยาวของรอบ
การเคลื่อนไหวของตลาดมักเกิดซ้ำรูปแบบเดิม ช่วงเวลาของการเติบโตมักตามมาด้วยการถดถอย ซึ่ง DPO จะช่วยหาเวลาที่ใช้ในการทำให้รอบเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ วิธีการมีดังนี้
- มองหาจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดติดต่อกันใน DPO
- วัดระยะระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด
ตัวอย่าง หากกำลังเทรด CFD ของหุ้น ให้ใช้ DPO เพื่อประเมินว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าราคาจะเพิ่มขึ้นและลดลง เมื่อรอบปัจจุบันใกล้กับค่าเฉลี่ยในอดีต ให้เตรียมรับมือกับการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
3. ใช้ Detrended Price Oscillator ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ
DPO ใช้งานได้ผลดี แต่จะดียิ่งขึ้นเมื่อใช้ควบคู่กับเครื่องมืออื่นๆ
- DPO + ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ – ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อหาแนวโน้มโดยรวมขณะที่ DPO โฟกัสกับรอบที่สั้นกว่า เช่น ใช้ DPO ร่วมกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วงเวลา 50 เมื่อราคาอยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และ DPO แตะจุดต่ำสุดจะถือว่าเป็นจังหวะเข้าซื้อ เมื่อราคาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และ DPO แตะจุดสูงสุดจะถือว่าเป็นสัญญาณขาย
- DPO + MACD – MACD สามารถยืนยันว่าโมเมนตัมของตลาดสอดคล้องกับสิ่งที่ DPO กำลังแสดงหรือไม่ หากทั้งสองอย่างชี้ให้เห็นจุดกลับตัวก็จะถือว่าเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง
เคล็ดลับมือโปรสำหรับการใช้งาน DPO
- อย่าใช้แค่ตัวชี้วัดเดียว – DPO เหมาะสมที่สุดหากใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุน ควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ
- ระวังสัญญาณหลอก – ไม่มีตัวชี้วัดไหนที่สมบูรณ์แบบ และ DPO ก็เช่นเดียวกัน ให้ใช้งานร่วมกับวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนที่ไม่จำเป็น
- ปรับการตั้งค่าอ้างอิงตามกรอบเวลา – ช่วงเวลาที่สั้นกว่าจะทำให้ Detrended Price Oscillator อ่อนไหวมากขึ้น แต่อาจทำให้เกิดสัญญาณรบกวนเพิ่ม ดังนั้นจึงควรค้นหาจุดสมดุลที่เหมาะกับสไตล์การเทรด
สรุป
Detrended Price Oscillator เป็นเครื่องมือประสิทธิภาพสูงที่เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการขจัดสิ่งรบกวนจากแนวโน้มระยะยาวเพื่อโฟกัสกับรอบระยะสั้น ใช้ระบุความยาวของรอบ จังหวะกลับตัว หรือใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ
เพื่อให้การใช้ตัวชี้วัดนี้ได้ผลดี มีสิ่งที่ต้องจำไว้ นั่นคือ ควรใช้ควบคู่กับตัวชี้วัดอื่นเพื่อระวังสัญญาณหลอก และฝึกใช้งานด้วยบัญชีทดลองก่อนทำการเทรดจริง