Back
Updated: มิถุนายน 23, 2025

5 กลยุทธ์เทรดออปชันที่ดีที่สุดที่มือใหม่ทุกคนควรรู้

หากยังเป็นมือใหม่หัดเทรดอยู่ ได้เวลาฝึกฝน 5 กลยุทธ์เทรดประสิทธิภาพสูงที่ IQ Option สำหรับการเทรดระยะสั้น ไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อนหรือการคำนวณคณิตศาสตร์ขั้นสูง วิธีการใช้งานง่ายมาก สามารถช่วยสร้างวินัย เพิ่มโอกาสทำเงิน ตัดสินใจได้ดีขึ้น และมอบความมั่นใจให้กับการเทรดในสภาพแวดล้อมตลาดของจริง

กลยุทธ์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญ เมื่อฝึกใช้กลยุทธ์จนเชี่ยวชาญแล้วก็จะมีความพร้อมสำหรับการใช้งานเทคนิคขั้นสูงด้วยความมั่นใจและควบคุมการตัดสินใจได้ดี

การเทรดออปชันคืออะไร?

การเทรดออปชันช่วยให้สามารถเก็งกำไรจากทิศทางราคาสินทรัพย์ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริงๆ ไม่ได้เป็นการซื้อสินทรัพย์ แต่กำลังเดิมพันเกี่ยวกับทิศทางของสินทรัพย์ หากคาดการณ์ถูกก็จะได้รับผลตอบแทนที่กำหนดไว้ หากคาดการณ์ผิดจะสูญเสียเงินที่เสี่ยง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่การเทรดออปชันมีความรวดเร็ว ยืดหยุ่น และเสี่ยงสูง

ออปชันส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของไบนารีออปชันหรือดิจิตอลออปชัน ซึ่งต้องคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้นหรือลดลงหลังจากเวลาที่กำหนด

วิธีเรียนรู้การเทรดออปชัน

ใครที่ยังเป็นมือใหม่หัดเทรด อย่าเพิ่งรีบเข้าตลาดจริงทันที เพราะว่าการเทรดในตลาดโดยไม่ได้เตรียมตัวเป็นสิ่งที่ทำให้สูญเสียเงินได้เร็วที่สุด นี่คือวิธีเริ่มต้น

เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง ไม่มีความเสี่ยง เอาไว้ฝึกเทรด
ศึกษาแนวคิดหลัก ได้แก่ ราคาใช้สิทธิ์ เวลาหมดอายุ ความเสี่ยง/ผลตอบแทน เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทน
ดูวิดีโอสอนเทรดสำหรับมือใหม่ หรืออ่านคู่มือแนะนำอย่างละเอียด เช่น บทความนี้เกี่ยวกับวิธีการเทรดไบนารีออปชัน

ความสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญ แม้แต่เวลาที่มีสมาธิเพียง 15 – 30 นาทีต่อวันก็สามารถสร้างสัญชาตญาณการเทรดที่แข็งแกร่งได้

5 กลยุทธ์เทรดออปชันสำหรับมือใหม่

1. กลยุทธ์ติดตามแนวโน้ม

การใช้งาน – หาทิศทางของตลาดและติดตามแนวโน้มที่แข็งแกร่ง

เหตุผลที่ใช้ – ตลาดมักเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้มที่ชัดเจน การเทรดตามแนวโน้มอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดหลักที่ว่า เมื่อแนวโน้มเกิดขึ้นแล้วก็มีโอกาสที่แนวโน้มจะดำเนินต่อไป อย่างน้อยก็นานพอที่จะทำกำไรจากการเทรดออปชันระยะสั้น

กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือผสานการใช้งานรูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องของแนวโน้ม และตัวชี้วัดต่างๆ เช่น Moving Average (MA), MACD หรือ Bollinger Band เพื่อยืนยันทิศทางและโมเมนตัม

การติดตามแนวโน้มใช้ได้ผลเป็นพิเศษโดยเฉพาะระหว่างการประกาศข่าวสำคัญหรือหลังจากราคาทะลุกรอบ เมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้นและราคามีแนวโน้มที่จะพุ่งทะลุ หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่ไซด์เวย์อยู่ในกรอบราคาแคบๆ กลยุทธ์นี้จะได้ผลในสภาพแวดล้อมที่มีทิศทางชัดเจน

💡 เคล็ดลับมือโปร – การใช้กลยุทธ์ติดตามแนวโน้มในกรอบเวลาที่นานขึ้น (15 นาที หรือมากกว่า) กับเครื่องมืออย่างเช่น EMA (Exponential Moving Average) ช่วยลบสัญญาณรบกวนได้

2. แนวรับและแนวต้าน

การใช้งาน – เทรดจุดกลับตัวและวิเคราะห์พฤติกรรมของราคา

เหตุผลที่ใช้ – โซนราคาแนวนอนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนอุปสรรคทางจิตวิทยาที่มักทำให้เทรดเดอร์เข้าเทรดหรือออกจากเทรด การหาแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่งช่วยให้มองเห็นโอกาสที่ราคาจะทะลุกรอบหรือจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น โซนเหล่านี้มักอยู่แนวเดียวกับจุดสูงสุด/จุดต่ำสุดก่อนหน้า จุดกลับตัว (Pivot Point) หรือบริเวณที่มีปริมาณเทรดสูง

วาดระดับเหล่านี้บนกราฟ 1 ชั่วโมง หรือ 4 ชั่วโมง และติดตามการตอบสนองของราคาด้วยการยืนยันแท่งเทียนก่อนจะเทรด มองหาสัญญาณต่างๆ เช่น พินบาร์ (Pin Bar) แท่งเทียนกลืนกิน (Engulfing Candle) หรือแท่งเทียนโดจิ (Doji) ใกล้กับพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งมักเป็นการส่งสัญญาณถึงจุดกลับตัวของตลาด

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวรับและแนวต้านได้ในบทความนี้

💡 เคล็ดลับมือโปร – ใช้สิ่งนี้ร่วมกับ RSI เพื่อยืนยันสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป

3. กลยุทธ์ราคาทะลุกรอบ (Breakout)

การใช้งาน – หาโมเมนตัมช่วงแรกหลังตลาดเคลื่อนที่ไซด์เวย์อยู่ในกรอบแคบๆ

เหตุผลที่ใช้ – ตลาดที่เคลื่อนที่ไซด์เวย์อยู่ในกรอบแคบมักใช้เวลานาน เมื่อราคาทะลุกรอบที่แคบหรือรูปแบบสามเหลี่ยม มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่รุนแรง ซึ่งเป็นโอกาสเทรดระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง

ใช้เครื่องมือสร้างกราฟเพื่อหารูปแบบราคาคลาสสิก เช่น สี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle) หน้าจั่ว (Wedge) หรือสามเหลี่ยม (Triangle) และรอให้ราคาทะลุกรอบด้วยปริมาณที่สูงเพื่อเข้าเทรด รูปแบบเหล่านี้มักปรากฏในช่วงที่ตลาดเคลื่อนที่ไซด์เวย์อยู่ในกรอบแคบ เมื่อตลาด “กำลังสะสมแรง” ก่อนจะเกิดการเคลื่อนไหวที่รุนแรงอย่างมีทิศทาง

💡 เคล็ดลับมือโปร – ใช้กลยุทธ์ราคาทะลุกรอบในเซสชันที่ตลาดผันผวน เช่น ช่วงเปิดตลาดลอนดอนหรือนิวยอร์ก ซึ่งจะมีการเคลื่อนไหวที่มีผลกระทบสูงกว่า ราคาทะลุกรอบเชื่อถือได้มากที่สุดเมื่อมาพร้อมกับปริมาณเทรดที่กำลังเพิ่มขึ้น และยืนยันการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวชี้วัดโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง เช่น RSI หรือ MACD

ตัวอย่างรูปแบบกราฟที่อาจส่งสัญญาณแนวโน้มใหม่

  1. หากราคาทะลุเหนือระดับแนวต้านพร้อมแท่งเทียน Bullish Engulfing อาจเป็นสัญญาณจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีแรงหนุนจากปริมาณเทรดที่กำลังเพิ่มขึ้น

  2. รูปแบบหน้าจั่วขาลง (Descending Wedge) ตามด้วยการทะลุกรอบขึ้น (Upward Breakout) มักบ่งบอกว่าแรงขายกำลังลดลง มองหาการยืนยันจาก RSI Divergence หรือ MACD ครอสโอเวอร์

  3. เมื่อสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle) ก่อตัวขึ้นหลังการเคลื่อนไหวเป็นขาขึ้น ราคาทะลุกรอบขึ้นไปอาจชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องของแนวโน้ม ส่งสัญญาณถึงจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น

  4. เมื่อสิ้นสุดแนวโน้มขาขึ้น รูปแบบหัวและไหล่ (Head and Shoulders) พร้อมราคาที่ทะลุลงไปต่ำกว่าเส้นคอ (Neckline Breakdown) และปริมาณเทรดที่แข็งแกร่ง มักเป็นการบ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลงใหม่

💡 เคล็ดลับมือโปร – ใช้การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา ยืนยันรูปแบบบนกราฟ 15 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ก่อนเข้าสู่กราฟ 5 นาที เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

4. กลยุทธ์ RSI Divergence

การใช้งาน – หาจุดกลับตัวที่ซ่อนอยู่ตั้งแต่เนิ่นๆ

เหตุผลที่ใช้ – ในบรรดากลยุทธ์เทรดทั้งหมดที่ IQ Option เรียกได้ว่า RSI เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อ่านค่าง่าย และใช้งานได้ดีกับออปชัน ช่วยให้เทรดเดอร์หาการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมก่อนที่จะปรากฏในราคา

RSI Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่หรือจุดต่ำสุดใหม่ แต่ตัวชี้วัด RSI ไม่สามารถยืนยันได้ ชี้ให้เห็นการเคลื่อนไหวที่อ่อนแรงลงและจุดกลับตัวที่เป็นไปได้ สิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณการอ่อนแรงของแนวโน้มปัจจุบัน

กำหนดช่วงเวลา RSI เป็น 14 และหาไดเวอร์เจนซ์รอบๆ พื้นที่แนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ ใช้กับการเซ็ตอัปกราฟที่ดูโล่ง โดยเฉพาะหลังจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรง กลยุทธ์นี้ได้ผลที่สุดในกรอบเวลาที่สูงขึ้น เพื่อกรองสัญญาณรบกวนและลดสัญญาณหลอก

💡 เคล็ดลับมือโปร – เหมาะที่จะใช้ร่วมกับเส้นแนวโน้มเพื่อยืนยันเพิ่มเติม

5. กลยุทธ์การตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Crossover)

การใช้งาน – หาการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มและยืนยันจุดเข้าเทรด

เหตุผลที่ใช้ – กลยุทธ์นี้จะใช้จุดตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น โดยเฉพาะค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (เช่น EMA ช่วงเวลา 9 หรือ 14) และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (เช่น EMA ช่วงเวลา 50) เพื่อหาการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมและจุดกลับตัวของแนวโน้มที่เป็นไปได้

●  เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่สั้นกว่าตัดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ยาวกว่า แสดงว่ามีแนวโน้มขาขึ้นที่อาจเกิดขึ้น และถือเป็นสัญญาณเข้าเทรดขาขึ้น

●  จุดตัดกันขาลงหมายถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม และบ่งบอกสัญญาณอ่อนแรงที่เป็นไปได้ จุดตัดเหล่านี้มักจะอยู่ในแนวเดียวกับราคาทะลุกรอบหรือโซนจุดกลับตัวที่สำคัญ ทำให้มีประโยชน์สำหรับการยืนยัน

กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพมากเมื่อใช้ร่วมกับตัวชี้วัดปริมาณ รวมถึง RSI หรือการเคลื่อนไหวของราคาในบริเวณรอบๆ โซนแนวรับ/แนวต้าน

💡 เคล็ดลับมือโปร – กรองสัญญาณหลอกด้วยการหลีกเลี่ยงตลาดที่มีปริมาณเทรดต่ำ และหาความสอดคล้องของแนวโน้มในกรอบเวลาที่สูงกว่า

ความเสี่ยงของการเทรดออปชัน

การเทรดออปชันสามารถทำกำไรได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่รับประกันว่าจะทำเงินได้ง่ายๆ มือใหม่หลายคนจึงมักมองข้ามความเสี่ยง

⚠️ ผลลัพธ์แบบ All or nothing (ชนะจ่ายเงินแพ้ไม่จ่ายเงิน) – การเทรดออปชันอาจส่งผลให้ได้เงินหรือสูญเสียเงินทั้งหมด
⚠️ เทรดมากเกินไป (Overtrading) – การรู้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วอาจทำให้เสพติดการเทรด
⚠️ ตัดสินใจตามอารมณ์ (Emotional Bias) – การเทรดเอาคืนหรือเพิ่มเงินสองเท่ามักลงเอยด้วยความเลวร้าย
⚠️ ไม่มีการจัดการความเสี่ยง – การเทรดโดยไม่มีกฎหยุด มักนำไปสู่ความหายนะของบัญชี

การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต้องจำกัดยอดเงินเทรดสูงสุดเสมอ (ไม่เกิน 1 – 2% ของบัญชีต่อเทรด) หลีกเลี่ยงการเทรดเอาคืน และหยุดพักเมื่ออารมณ์ไม่มั่นคง

โบนัสเคล็ดลับสำหรับมือใหม่

ใช้บัญชีทดลองเพื่อทดสอบกลยุทธ์โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง เหมาะสำหรับการลองผิดลองถูก และเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
ใช้ 1 – 2 กลยุทธ์ ก่อนทดลองกลยุทธ์ขั้นสูง การมีสมาธิจะช่วยส่งเสริมความเชี่ยวชาญ
จดบันทึกการเทรด เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทาง บันทึกจุดเข้าเทรด การตั้งค่า ผลลัพธ์ และสภาวะทางอารมณ์
ฝึกจัดการความเสี่ยง อย่าเสี่ยงเกิน 1 – 2% ของเงินทุนในเทรดเดียว การขาดทุนเพียงเล็กน้อยช่วยป้องกันความสูญเสียครั้งใหญ่ได้
ทดสอบกลยุทธ์กับข้อมูลตลาดในอดีต เพื่อดูว่าประสิทธิภาพของกลยุทธ์เป็นอย่างไรภายใต้เงื่อนไขต่างๆ เช่น แนวโน้ม ช่วงเวลา และเหตุการณ์ข่าว สิ่งนี้ช่วยสร้างความมั่นใจและความคาดหวังที่เป็นจริงได้
ติดตามเหตุการณ์ข่าวสำคัญ ความผันผวนอาจสร้างโอกาสทำเงินครั้งใหญ่ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงของการทะลุหลอกและความเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่แน่นอน หากเทรดในช่วงที่มีข่าว ให้ใช้การควบคุมความเสี่ยงที่รัดกุมมากขึ้น และรอให้มีการยืนยันที่ชัดเจนก่อนจะเข้าสู่ตลาด
กำหนดขีดจำกัดการเทรดรายวัน รู้ว่าต้องหยุดตอนไหนหลังจากแพ้หรือชนะ วินัย > แรงจูงใจ
(เลือกได้) ใช้เครื่องมือบันทึกหน้าจอ เพื่อทบทวนการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ การหารูปแบบมักพลาดกันได้ในพริบตา
ทบทวนการเทรดรายสัปดาห์ แม้แต่การใช้เวลาทบทวนเพียง 15 นาทีก็สามารถปกป้องไม่ให้ทำข้อผิดพลาดซ้ำๆ ได้

สรุปส่งท้าย

กลยุทธ์ออปชันที่ดีที่สุด 5 กลยุทธ์เหล่านี้สำหรับการเทรดที่ IQ Option ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการส่งเสริมทักษะ ซึ่งเป็นกลยุทธ์เรียบง่ายที่เหมาะกับมือใหม่ และยืดหยุ่นเพียงพอที่จะเติบโตไปพร้อมประสบการณ์ของผู้เริ่มต้น

ลองใช้กลยุทธ์เทรดที่แตกต่างกันทีละกลยุทธ์เพื่อทดสอบการเทรดที่ IQ Option และผสมผสานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อสร้างแนวทางเทรดไบนารีออปชันของคุณเอง ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงต้องติดตามประสิทธิภาพของตนเอง และปรับปรุงกระบวนการเทรดให้ดียิ่งขึ้น แม้แต่กลยุทธ์ที่ง่ายๆ ก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือที่แข็งแกร่งในการเทรดได้หากมีความอดทน ฝึกฝน และจัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด

หากต้องการอ่านเพิ่มเติม ลองดูบทความต่อไปนี้

🔗 5 กลยุทธ์เทรดสำหรับปี 2025 ค้นหากลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเอง
🔗 5 ตัวชี้วัดยอดเยี่ยมสำหรับไบนารีออปชัน
🔗 5 กลยุทธ์การเทรดทั่วไปที่คุณต้องรู้จัก
🔗 3 กลยุทธ์ที่มีผลกระทบสูงกับการเทรดไบนารีออปชัน

Updated มิ.ย. 23, 2025

Marta Henriques