CFD เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาโดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ไม่ว่าจะเป็นตลาดขาขึ้นหรือตลาดขาลงก็สามารถทำกำไรได้ และการใช้เลเวอเรจจะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด เลเวอเรจเป็นสิ่งที่มาพร้อมความเสี่ยง วิธีเทรด CFD จึงเหมาะกับผู้ที่เข้าใจกลไกการทำงานและพร้อมรับความเสี่ยงจากการขาดทุนได้
คู่มือนี้จะอธิบายทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับลักษณะและวิธีเทรด CFD นอกจากนี้จะพูดถึงแนวทางการจัดการความเสี่ยง การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม และการสร้างกลยุทธ์เทรดที่เป็นระบบสำหรับการเทรด CFD
CFD คืออะไร?
Contract for Difference (CFD) หรือสัญญาส่วนต่าง เป็นเครื่องมือทางการเงินที่สามารถใช้เก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคาสินทรัพย์โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์นั้นจริงๆ การเทรด CFD เป็นสัญญาที่เทรดเดอร์ตกลงว่าจะแลกเปลี่ยนส่วนต่างระหว่างมูลค่าเปิดและมูลค่าปิดของสินทรัพย์
ให้มองวิธีเทรด CFD เป็นเหมือนการเดิมพันที่ต้องคาดการณ์ทิศทางราคาสินทรัพย์ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง หากคิดว่าราคาหุ้น Apple จะเพิ่มขึ้นก็ให้ซื้อ CFD เมื่อราคาเพิ่มขึ้นจริงจะได้กำไรจากส่วนต่างราคา แต่ถ้าราคาหุ้นร่วงลงจะขาดทุน
การเทรดแบบนี้ดีตรงที่ไม่จำเป็นต้องถือหุ้น Apple ก็สามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาได้ เพียงแค่เดิมพันกับส่วนต่างของราคาเท่านั้น
หลักการทำงานของ CFD เป็นอย่างไร?
CFD สะท้อนการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงิน หากราคาหุ้น Apple เพิ่มขึ้น $1 ราคา CFD ของหุ้น Apple ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน กำไรหรือขาดทุนจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ได้หรือเสีย ซึ่งมาจากส่วนต่างระหว่างราคาปิดและราคาเปิด คูณด้วยจำนวน CFD ที่ขายหรือซื้อ
จุดเด่นของ CFD
● ไม่ต้องถือครอง – ไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง เพียงแต่ได้สิทธิ์ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคา
● เลเวอเรจ – สามารถคุมสถานะขนาดใหญ่ด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย
● เทรดสองทาง – ทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง
● เทรดแบบเศษส่วน – สามารถซื้อและขายเศษส่วนของหุ้นหรือหน่วยลงทุน
● ไม่มีเวลาหมดอายุ – การเทรด CFD ส่วนใหญ่จะไม่มีเวลาหมดอายุ แต่ต้องจ่ายอัตราค่าธรรมเนียมข้ามคืนสำหรับการถือสถานะ

ลักษณะของวิธีเทรด CFD
การเทรด CFD ต้องเปิดสถานะและปิดสถานะตามการคาดการณ์ทิศทางตลาด การเข้าใจหลักการทำงานจะช่วยให้สามารถเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเปิดสถานะและการปิดสถานะ
การเปิดสถานะ CFD หมายความว่าเทรดเดอร์กำลังทำข้อตกลงกับโบรกเกอร์ โดยจะ “ซื้อ” (เปิดสถานะ Long) หากคิดว่าราคาจะเพิ่มขึ้น หรือ “ขาย” (เปิดสถานะ Short) หากคิดว่าราคาจะลดลง กรณีที่ต้องการปิดสถานะ เพียงแค่เทรดทิศทางตรงกันข้าม หากเปิดสถานะซื้อ CFD ให้ทำการขายเพื่อปิด หากเปิดสถานะขาย CFD ให้ทำการซื้อคืนเพื่อปิด
สถานะ Long และสถานะ Short
● สถานะ Long (ซื้อ) – หากราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจะได้รับกำไร ตัวอย่างเช่น หากซื้อ CFD ของหุ้น Apple จำนวน 100 หน่วยที่ราคา $150 แล้วต่อมาราคาปรับขึ้นเป็น $155 ก็จะได้รับกำไร $500
● สถานะ Short (ขาย) – หากราคาสินทรัพย์ลดลงจะได้รับกำไร หากขาย CFD ของหุ้น Apple จำนวน 100 หน่วยที่ราคา $150 แล้วต่อมาราคาลดลงเป็น $145 ก็จะได้รับ $500
การคำนวณกำไรและขาดทุน
การคำนวณกำไร CFD ทำได้ง่ายมาก
กำไร/ขาดทุน = (ราคาปิด – ราคาเปิด) × จำนวน CFD × ทิศทาง
ทิศทาง +1 สำหรับ Long และ -1 สำหรับ Short
ตัวอย่างสถานะ Long
● ซื้อ CFD ของหุ้น Apple จำนวน 200 หน่วยที่ราคา $150
● ขายออกที่ $155
● กำไร ($155 – $150) × 200 × 1 = $1,000
ตัวอย่างสถานะ Short
● ขาย CFD ของหุ้น Apple จำนวน 200 ที่ราคา $150
● ซื้อกลับที่ $145
● กำไร ($150 – $145) × 200 × 1 = $1,000
วิเคราะห์จุดคุ้มทุน – จุดคุ้มทุนเท่ากับราคาเปิดบวกหรือลบด้วยสเปรดและค่าธรรมเนียมข้ามคืน ควรนำต้นทุนเหล่านี้มาพิจารณาตอนตัดสินใจเทรด

ประเภทของ CFD
CFD ประเภทต่างๆ เปิดโอกาสให้สามารถเข้าถึงตลาดที่แตกต่างกันและสินทรัพย์ที่หลากหลาย แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและต้องพิจารณาเลือกเทรดอย่างรอบคอบ
CFD ของหุ้น
CFD ของหุ้นจะติดตามราคาหุ้นของบริษัท สามารถซื้อหรือขาย CFD ของหุ้น Apple, Google, Tesla หรือหุ้นบริษัทอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องเทรดหุ้นจริง ปกติแล้ว CFD ของหุ้นจะมีสเปรดที่แคบและสภาพคล่องดีในช่วงเวลาทำการของตลาด เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์เทรดตลาดตราสารทุน
CFD ของดัชนี
CFD ของดัชนีจะติดตามดัชนีตลาด เช่น S&P 500, FTSE 100 หรือ DAX ช่วยให้สามารถลงทุนในตลาดโดยรวมและไม่ต้องเทรดหุ้นแต่ละตัว CFD ของดัชนีมีข้อดีตรงที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและเสี่ยงน้อยกว่าการถือหุ้นรายตัว เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการวิเคราะห์ภาพรวมตลาดในวงกว้าง แทนที่จะเลือกหุ้นทีละตัว
CFD ของสินค้าโภคภัณฑ์
CFD ของสินค้าโภคภัณฑ์เปิดโอกาสให้ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น เกษตร พลังงาน และโลหะมีค่า สามารถซื้อหรือขาย CFD ของกาแฟ ข้าวสาลี น้ำมัน หรือทองคำ โดยอ้างอิงตามราคาของฟิวเจอร์ส CFD ของสินค้าโภคภัณฑ์มักมีสเปรดกว้างกว่าและผันผวนกว่า CFD ของหุ้น เหมาะกับเทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
CFD ของสกุลเงิน
CFD ของฟอเร็กซ์หรือ CFD ของสกุลเงินเป็นการเทรดคู่สกุลเงินต่างๆ เช่น EUR/USD หรือ GBP/JPY ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุด CFD ของสกุลเงินจะมีสเปรดแคบที่สุดและเลเวอเรจสูงสุด ตลาดฟอเร็กซ์เปิดทำการ 24 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่ชอบเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว

ต้นทุนและค่าธรรมเนียมของการเทรด CFD
การทำความเข้าใจค่าธรรมเนียมของการเทรด CFD เป็นเรื่องสำคัญ เพราะส่งผลต่อกำไรจากการเทรด ค่าธรรมเนียมมีหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนลดลง ดังนั้นการทำให้ค่าธรรมเนียมเหล่านี้เหลือน้อยที่สุดจะช่วยให้กำไรเพิ่มขึ้น
ค่าสเปรด
สเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการเทรด สเปรดจะแตกต่างกันไปตามประเภทสินทรัพย์และสภาวะตลาด คู่สกุลเงินอาจมีสเปรดอยู่ที่ 0.5 – 2 pip แต่หุ้นรายตัวอาจมีสเปรดอยู่ที่ 2 – 10 เซนต์ ตลาดที่ผันผวนสูงมักมีสเปรดกว้างกว่า
ค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืน
เมื่อถือสถานะ CFD ข้ามคืน คุณจะได้รับหรือต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทางการเงิน การคำนวณค่าธรรมเนียมจะคิดจากอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนของสินทรัพย์บวกหรือลบกับมาร์จิ้นของโบรกเกอร์ โดยทั่วไปค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืนจะเกิดกับสถานะ Long ส่วนสถานะ Short อาจได้รับดอกเบี้ย การคำนวณจริงจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันและเงื่อนไขที่โบรกเกอร์กำหนด
รูปแบบคอมมิชชัน
โบรกเกอร์บางแห่งจะคิดคอมมิชชันจากการเทรด CFD โดยเฉพาะ CFD ของหุ้น คอมมิชชันเหล่านี้อาจเป็นรูปแบบค่าธรรมเนียมคงที่ต่อเทรด หรือค่าธรรมเนียมเป็นเปอร์เซ็นต์ โบรกเกอร์ที่ไม่เก็บค่าคอมมิชชันมักจะมีสเปรดที่กว้างกว่าเป็นการชดเชย ดังนั้นจึงควรพิจารณาภาพรวมของต้นทุนการเทรดทั้งหมด ไม่ใช่แค่เปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชันเท่านั้น
กลยุทธ์การจัดการต้นทุน
● เทียบสเปรดของโบรกเกอร์แต่ละแห่ง
● หลีกเลี่ยงการถือสถานะข้ามคืน ยกเว้นกรณีที่จำเป็น
● วางแผนการเทรดด้วยการพิจารณาต้นทุนทั้งหมด
● ใช้คำสั่งลิมิต (Limit Order) เพื่อควบคุมต้นทุนการดำเนินการคำสั่งเทรด
กลยุทธ์วิธีเทรด CFD สำหรับมือใหม่
การเทรด CFD ให้ประสบความสำเร็จต้องกำหนดแนวทางอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แทนที่จะเดาแบบไม่มีหลักการ เทรดเดอร์แต่ละคนและแต่ละสภาวะตลาดเหมาะกับการใช้ระบบเทรดที่แตกต่างกัน
การเทรดแบบเดย์เทรด (Day Trading)
เดย์เทรดเกี่ยวข้องกับการเปิดและปิดสถานะภายในวันเดียวกัน ช่วยหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมข้ามคืน แต่จำเป็นต้องเฝ้าตลาดอยู่ตลอด และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์เดย์เทรดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ได้แก่ สกัลปิ้ง (Scalping เทรดสั้นๆ เน้นเร็ว) เทรดตามโมเมนตัม (Momentum Trading เทรดตามการเคลื่อนไหวของราคา) และเทรดกรอบการแกว่งตัว (Range Trading ซื้อที่แนวรับ ขายที่แนวต้าน)
การเทรดแบบสวิงเทรด (Swing Trading)
สวิงเทรดเป็นการถือสถานะไว้เป็นเวลาหลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ เพื่อทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงกลางๆ ของแนวโน้ม สวิงเทรดเป็นรูปแบบที่ใช้เวลาวิเคราะห์และติดตามตลาดน้อยกว่าเดย์เทรด กลยุทธ์สวิงเทรดมักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับจังหวะเข้าออก ซึ่งจะดูแนวโน้มและรูปแบบของกราฟราคาเป็นหลัก แต่ไม่ได้พิจารณาความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้นในระดับนาทีต่อนาที
การเทรดแบบถือสถานะ (Position Trading)
การเทรดแบบถือสถานะหรือที่เรียกว่า Position Trading เป็นการถือ CFD ไว้เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนเพื่อทำกำไรจากเทรนด์ใหญ่ของตลาด กลยุทธ์นี้ต้องใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เทรดเดอร์ที่ใช้การเทรดแบบถือสถานะต้องคำนึงค่าธรรมเนียมข้ามคืน เพราะหากถือสถานะไว้นานอาจทำให้ค่าธรรมเนียมข้ามคืนมีมูลค่าสูงขึ้น เทรดเดอร์กลุ่มนี้จะตั้งจุด Stop Loss ที่กว้างออกไป เพื่อไม่ให้การแกว่งตัวของราคาระยะสั้นถึงระดับตัดขาดทุนก่อนเวลา
วิธีจัดการความเสี่ยงในการเทรด CFD
การควบคุมความเสี่ยงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้การเทรด CFD สามารถกำไรได้ ไม่ใช่เทรดจนบัญชีได้รับความเสียหาย เทรดเดอร์ที่เก่งๆ มักให้ความสำคัญกับการควบคุมความเสี่ยงมากกว่าเน้นทำกำไรเยอะๆ
กฎเกี่ยวกับการกำหนดขนาดสถานะ
อย่าเสี่ยงเกิน 1 – 2% ของเงินทุนทั้งหมดในบัญชีต่อการเทรดแต่ละครั้ง แนวทางนี้จะช่วยให้สามารถรับมือกับการขาดทุนต่อเนื่อง 20 – 50 ครั้ง และยังคงมีเงินเหลือให้เทรดต่อ หากมีเงินในบัญชี $10,000 ควรเสี่ยงไม่เกิน $100 – $200 ต่อเทรด การกำหนดขนาดสถานะอย่างเหมาะสมจะช่วยให้รอดจากการสูญเสียเงินต่อเนื่อง 20 – 50 ครั้ง และเหลือเงินเพียงพอสำหรับการเทรด
การใช้งานคำสั่ง Stop Loss
ควรตั้งระดับหยุดขาดทุนเสมอเพื่อจำกัดการขาดทุนให้น้อยที่สุด กำหนด Stop Loss ตามระดับทางเทคนิคที่เหมาะสม ไม่ใช่ตั้งเปอร์เซ็นต์เดาสุ่มหรือตั้งจำนวนเงินแบบมั่วๆ ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการตั้งคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop Loss) คือตั้งให้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่เด้งกลับล่าสุดเล็กน้อยสำหรับสถานะ Long หรือตั้งให้สูงกว่าจุดสูงสุดที่เด้งกลับล่าสุดเล็กน้อยสำหรับสถานะ Short
อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน
เลือกเทรดที่มีโอกาสทำกำไรสูงกว่าความเสี่ยงขาดทุนอย่างน้อย 2:1 หากเสี่ยงเงิน $100 ควรตั้งเป้ากำไรที่เป็นไปได้อย่างน้อย $200 อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนจะช่วยให้สามารถทำกำไรได้แม้จะคาดการณ์ผิดบ่อยมากกว่าถูก แม้จะมีอัตราชนะเพียง 40% ก็ยังคงทำกำไรได้หากใช้อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 2:1
อ่านบทความเรื่อง “5 เครื่องมือจัดการความเสี่ยงและเคล็ดลับสำหรับนักเทรด“
วิธีเทรด CFD เริ่มต้นอย่างไร
การเริ่มต้นเทรด CFD ต้องเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบและตั้งความหวังให้สอดคล้องกับความเป็นจริง การรีบเทรดด้วยบัญชีจริงเร็วเกินไปมักส่งผลให้เกิดความล้มเหลว
เลือกโบรกเกอร์ CFD
โบรกเกอร์ที่เลือกใช้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อประสบการณ์เทรดที่ได้รับ ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีหน่วยงานกำกับดูแลอย่างถูกต้อง สเปรดแคบ ส่งคำสั่งเร็ว และมีฝ่ายช่วยเหลือลูกค้าอยู่ในระดับดี อย่าลืมตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีระบบป้องกันยอดคงเหลือติดลบหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหนี้เกินกว่ายอดเงินที่มีในบัญชี
เกณฑ์ที่ใช้ประเมินโบรกเกอร์
● หน่วยงานกำกับดูแล – เลือกโบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้
● สเปรด – เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
● คุณภาพการส่งคำสั่งเทรด – ทดสอบว่าโบรกเกอร์ส่งคำสั่งได้รวดเร็วและแม่นยำแค่ไหน
● ฝ่ายซัพพอร์ตลูกค้า – ตรวจสอบดูว่าฝ่ายซัพพอร์ตตอบกลับเร็วหรือไม่ระหว่างช่วงเวลาที่คุณเทรด
● แหล่งข้อมูลสำหรับการเรียนรู้ – เลือกโบรกเกอร์ที่มีการสอนเทรด
เลือกแพลตฟอร์ม
แพลตฟอร์มเทรดควรใช้งานง่าย เสถียร และมาพร้อมเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์ แพลตฟอร์ม MetaTrader 4, MetaTrader 5 และแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ที่สร้างขึ้นเองเป็นแพลตฟอร์มที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ก่อนเสี่ยงด้วยเงินจริงควรฝึกเทรดก่อนด้วยการใช้บัญชีทดลองบนแพลตฟอร์ม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มทำงานได้ดีบนคอมพิวเตอร์หรือมือถือและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่มีปัญหา
ประโยชน์ของการฝึกเทรดด้วยบัญชีทดลอง
บัญชีทดลองช่วยให้สามารถเทรด CFD ได้โดยไม่ต้องนำเงินจริงมาเสี่ยง สามารถใช้บัญชีทดลองฝึกกลยุทธ์เทรด ทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม และสร้างความมั่นใจ
แต่ควรจำไว้ว่าการเทรดด้วยบัญชีทดลองไม่สามารถสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกเหมือนตอนเทรดจริง เมื่อฝึกจนพร้อมแล้วให้เริ่มต้นเทรดจริงด้วยขนาดสถานะที่ใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อย
ข้อผิดพลาดทั่วไปของการเทรด CFD
● เลเวอเรจมากเกินไป – เทรดเดอร์มือใหม่มักใช้เลเวอเรจสูงๆ เพราะคาดหวังว่าจะได้กำไรเร็วๆ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการเร่งให้เกิดการขาดทุน และนำไปสู่การทำลายบัญชีอย่างรวดเร็ว
● มองข้ามค่าใช้จ่ายทางการเงิน – การถือสถานะข้ามคืนจะมีค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ค่อยๆ ทำให้กำไรลดลง ดังนั้นการวางแผนเทรดจึงต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายเหล่านี้
● จัดการความเสี่ยงไม่ดี – เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เสี่ยงเงินในแต่ละเทรดมากเกินไปหรือไม่ได้ตั้งจุด Stop Loss การทำแบบนี้อาจได้ผลในระยะสั้นแต่จะนำไปสู่การขาดทุนอย่างหนักในระยะยาว
● ตัดสินใจเทรดด้วยอารมณ์ – ความกลัวและความโลภเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเทรดส่วนใหญ่ เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะใช้แนวทางเทรดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแทนที่จะปล่อยให้อารมณ์เข้าควบคุม
● วิเคราะห์ตลาดไม่ดีพอ – การรีบเข้าเทรดโดยไม่ได้วิเคราะห์ตลาดให้รอบคอบจะทำให้โอกาสประสบความสำเร็จลดลง ดังนั้นจึงควรพัฒนากระบวนการวิเคราะห์ตลาดอย่างเป็นระบบ
● เทรดมากเกินไป – การเทรดหลายครั้งเกินไปจะทำให้ค่าใช้จ่ายสะสมเพิ่มขึ้น และมักนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาด การมีผลลัพธ์เทรดดีๆ ไม่กี่ครั้งย่อมดีกว่าการมีผลลัพธ์เทรดแย่ๆ หลายครั้ง
● เทรดเอาคืน – การเทรดเพื่อเอาคืนมักทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง ควรยอมรับการขาดทุนอย่างใจเย็นแล้วทำตามแผนที่วางไว้
● ไม่จดบันทึกการเทรด – หากไม่เก็บบันทึกการเทรดก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามีวิธีไหนบ้างที่ใช้แล้วได้ผลหรือไม่ได้ผล ดังนั้นจึงควรจดบันทึกทุกการเทรดและการตัดสินใจทุกครั้ง
หากต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้ดีที่สุด ให้อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง 7 นิสัยส่งเสริมให้นักเทรดประสบความสำเร็จ หรือ 3 ขั้นตอนปรับปรุงจิตวิทยาการเทรด

สรุปส่งท้าย
การเทรด CFD ช่วยให้มีโอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง อย่างไรก็ตาม การเทรดที่ทำกำไรได้ต้องอาศัยการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ รวมถึงการวางแผนอย่างมีวินัย และการตั้งความหวังที่สมเหตุสมผล แม้ว่าความยืดหยุ่นและเลเวอเรจของ CFD จะช่วยเพิ่มกำไร แต่ก็อาจทำให้การขาดทุนเพิ่มขึ้นด้วยเหมือนกัน ก่อนเทรดด้วยเงินจริงจึงควรฝึกเทรดและสั่งสมประสบการณ์
คำถามที่พบบ่อย
คำถาม – การเทรด CFD ควรฝากเงินขั้นต่ำเท่าไร
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะกำหนดเงินฝากขั้นต่ำ $100 – $500 แต่สามารถเริ่มต้นเทรดด้วยเงินที่น้อยกว่านี้ แต่ถ้าฝากเงิน $1,000 – $2,000 ก็จะสามารถจัดการความเสี่ยงได้ง่ายกว่า
คำถาม – มีโอกาสที่จะขาดทุนมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นหรือไม่
หากเทรดกับโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตและมีระบบป้องกันยอดคงเหลือติดลบจะไม่มีทางขาดทุนเกินยอดเงินที่มีอยู่ในบัญชี อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานกำกับดูแลอาจไม่มีระบบป้องกันยอดคงเหลือติดลบ
คำถาม – ค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืนคิดอย่างไร
ค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืนจะถูกคำนวณทุกวันตามขนาดของสถานะและอัตราดอกเบี้ยที่มีอยู่ สถานะ Short มักมีค่าธรรมเนียมดังกล่าว แต่สถานะ Long อาจได้รับดอกเบี้ย
คำถาม – CFD ต่างจากฟิวเจอร์สอย่างไร
CFD ไม่มีเวลาหมดอายุและไม่มีขนาดสัญญาตายตัว ส่วนฟิวเจอร์สจะมีวันหมดอายุและรายละเอียดของขนาดสัญญาที่ชัดเจน นอกจากนี้ CFD ยังเข้าถึงได้ง่ายกว่าสำหรับเทรดเดอร์รายย่อย
