เดย์เทรดเป็นการซื้อและขายภายในวันเดียวกัน เน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวระยะสั้นและการตัดสินใจที่รวดเร็ว การเดย์เทรดต้องมีกฎที่ชัดเจน และควบคุมความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด ในปี 2025 มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เครื่องมือคัดกรองด้วย AI รวมถึงบอทแบบเรียลไทม์ และออปชันที่หมดอายุในวันเดียวกัน (Zero Day Option หรือ 0DTE) สิ่งเหล่านี้ทำให้กลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ใช้สำหรับการเทรดภายในวันเปลี่ยนแปลงไป
บทความนี้จะอธิบายว่ากลยุทธ์อย่างการเทรดตามโมเมนตัมและการเทรดราคาทะลุกรอบยังคงได้ผลอยู่ แต่อาจต้องพึ่งเครื่องมือใหม่ๆ เช่น ตัวกรองเซนติเมนต์ด้วย AI หรืออนุพันธ์ 0DTE นอกจากนี้จะกล่าวถึงประโยชน์ของการควบคุมความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกับออปชันระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น และการเคลื่อนไหวที่ผันผวนในหนึ่งช่วงเวลาของการซื้อขาย
สิ่งที่ทำให้กลยุทธ์เดย์เทรดประสบความสำเร็จในปี 2025
กลยุทธ์เดย์เทรดที่ดีสำหรับปี 2025 ต้องเน้นความรวดเร็ว ไม่ซับซ้อน พลิกแพลงได้ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และควบคุมความเสี่ยงได้
● รวดเร็วและชัดเจน – สัญญาณต้องชัดเจนและลงมือได้เลย การเทรดในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วไม่มีเวลาให้หยุดคิดนาน ต้องมีแบบแผนที่แม่นยำที่สามารถตอบสนองได้ทันทีทันใด
● พลิกแพลงได้ – ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทรดเดอร์ต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับรูปแบบความผันผวนที่เกิดขึ้นใหม่ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือเหตุการณ์ระดับโลก ความยืดหยุ่นและการตัดสินใจลงมือภายใต้ความไม่แน่นอนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
● กรอบวินัยที่ชัดเจน – กลยุทธ์ที่มีคุณภาพต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด เพื่อกำหนดสิ่งที่จะเทรด เวลาเข้าเทรด วิธีเข้าและออกจากตลาด รวมถึงจุดที่ต้องหยุดเทรด
● ตัวเลขเชิงปริมาณและการทำให้เป็นระบบ – ความสำเร็จมาจากผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลและทำซ้ำได้ การมีระบบและยึดมั่นในรายละเอียดจะช่วยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดจากการตัดสินใจเทรดด้วยอารมณ์
● ควบคุมความเสี่ยง – การจัดการความเสี่ยงเป็นหัวใจของการเอาตัวรอด เทรดเดอร์ต้องจำกัดการขาดทุนในทุกการเทรด และต้องใช้คำสั่ง Stop Loss อย่างเคร่งครัด
● ลักษณะทางจิตวิทยา – ทัศนคติของเทรดเดอร์เป็นสิ่งสำคัญ เทรดเดอร์ต้องมีวินัย อดทน รู้จักปรับตัว สามารถพลิกแพลง ควบคุมอารมณ์ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และมุ่งเน้นการวิเคราะห์ สิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่ง
กลยุทธ์ 1 – เทรดตามโมเมนตัม (Momentum Trading)
การเทรดตามโมเมนตัมเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เดย์เทรดที่เก่าแก่ที่สุด และใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุด กลยุทธ์นี้อ้างอิงจากแนวคิดที่ว่าเมื่อสินทรัพย์แสดงการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในทิศทางหนึ่ง แนวโน้มนั้นมีโอกาสที่จะดำเนินต่อไปในช่วงเวลาสั้นๆ เทรดเดอร์จะเข้าเทรดตอนที่ราคาพุ่งแรง และออกจากเทรดเมื่อแนวโน้มแสดงให้เห็นสัญญาณอ่อนแรง
ในการใช้งานจริง กลยุทธ์เทรดตามโมเมนตัมจะใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณซื้อขาย ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ Moving Average จะยืนยันแนวโน้มโดยรวม ขณะที่ตัวชี้วัดอย่าง RSI, MACD และ Stochastic Oscillator จะช่วยชี้ให้เห็นว่าโมเมนตัมแข็งแกร่งพอหรือเริ่มชะลอตัว ปริมาณซื้อขายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเคลื่อนไหวที่รุนแรงมักเกิดขึ้นเมื่อมีกิจกรรมซื้อขายเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยรายวันอย่างน้อยสองเท่า
ข้อดีของแนวทางนี้คือความชัดเจน กลยุทธ์เทรดตามโมเมนตัมสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ยังสังเกตได้ง่าย เพราะแนวโน้มจะพุ่งขึ้นฉับพลัน ราคาทะลุกรอบหรือรูปแบบธงขาขึ้นมักเป็นตัวบ่งบอกว่ากำลังมีโมเมนตัมเกิดขึ้น แต่ความเสี่ยงก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน โมเมนตัมพลิกกลับแรงจะเกิดขึ้นแบบฉับพลัน ทำให้กำไรจำนวนมากหายไปอย่างรวดเร็ว การเทรดบ่อยและต้นทุนธุรกรรมที่สูงสามารถทำให้กำไรลดลงหากนำกลยุทธ์นี้ไปใช้อย่างไม่รอบคอบและไม่มีวินัย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกิดขึ้นเมื่อตอนต้นปี 2025 กองทุน iShares Edge MSCI USA Momentum Factor ETF ทำผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนี S&P 500 โดยบวกไปเกือบ 10% อ้างอิงข้อมูลจาก MarketWatch หุ้น Palantir และ Oracle เป็นหนึ่งในผู้นำ เทรดเดอร์ที่มองเห็นว่า Palantir กำลังทะลุกรอบด้วยปริมาณซื้อขายที่สูงสามารถเข้าเทรดช่วงที่ราคาวิ่งย้อนกลับ ตั้งระดับ Stop Loss ใต้จุดทะลุกรอบ และออกจากเทรดเมื่อโมเมนตัมเริ่มลดลง ตัวอย่างการเทรดครั้งเดียวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นหลักการสำคัญของกลยุทธ์นี้
ขั้นตอนสำคัญของการเทรดตามโมเมนตัม
● หาสินทรัพย์ที่มีปริมาณซื้อขายมากกว่าค่าเฉลี่ยรายวันอย่างน้อยสองเท่า
● ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และตัวชี้วัดโมเมนตัมยืนยันทิศทางแนวโน้ม
● เข้าเทรดเมื่อราคาวิ่งย้อนกลับหรือยืนยันแล้วว่าราคาทะลุกรอบ
● ตั้งระดับ Stop Loss ไว้ใต้จุดต่ำสุดล่าสุด
● ออกจากเทรดเมื่อปริมาณซื้อขายลดลงหรือตัวชี้วัดแสดงให้เห็นจุดกลับตัว
เมื่อทำตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เทรดเดอร์จะสามารถจับการเคลื่อนได้ไหวอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นระหว่างวัน และสามารถควบคุมความเสี่ยงได้
คำแนะนำภาพประกอบ : แนะนำให้ใช้ภาพแสดงการเทรดตามโมเมนตัม เช่น ใช้กราฟจาก TradingView พร้อมตัวชี้วัดโมเมนตัมhttps://www.tradingview.com/scripts/momentum/

กลยุทธ์ 2 – เทรดราคาทะลุกรอบ (Breakout Trading)
การเทรดราคาทะลุกรอบเป็นกลยุทธ์เดย์เทรดที่คลาสสิกอีกหนึ่งวิธี กลยุทธ์นี้จะเน้นเข้าเทรดเมื่อราคาทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยทำตามหลักการเทรดง่ายๆ เมื่อราคาตลาดสามารถเคลื่อนที่ผ่านระดับเหล่านี้ไปได้ มักจะทำให้เกิดคำสั่งซื้อขายใหม่ๆ เข้ามาจำนวนมาก และเร่งให้ราคาขยับเร็วขึ้น
ราคาทะลุกรอบมักเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาแกว่งตัวอยู่ในกรอบ ซึ่งเป็นช่วงที่ราคามีการซื้อขายอยู่ในกรอบแคบๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง เทรดเดอร์จะมองหารูปแบบกราฟต่างๆ เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือธง เมื่อราคาทะลุกรอบด้านบนหรือด้านล่างโดยมีปริมาณซื้อขายจำนวนมาก เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าโมเมนตัมใหม่กำลังจะเริ่มต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ Bollinger Bands และระดับ Fibonacci เพื่อยืนยันเงื่อนไขเข้าเทรด
ข้อดีของการเทรดราคาทะลุกรอบคือความชัดเจน หาจุดเข้าเทรดได้ง่าย เพียงแค่เข้าซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้าน และขายทิ้งตอนที่ราคาทะลุแนวรับ การควบคุมความเสี่ยงก็จัดการได้ง่าย เพราะสามารถตั้ง Stop Loss ไว้ในช่วงราคาที่แกว่งตัวอยู่ในกรอบ จุดอันตรายหลักๆ อยู่ตรงที่ “การทะลุหลอก (False Breakout)” ซึ่งราคาจะเคลื่อนตัวทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านเพียงชั่วคราวแล้วย้อนกลับเข้ากรอบเดิมอย่างรวดเร็ว สถานการณ์แบบนี้สามารถนำไปสู่การขาดทุนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หากไม่จัดการอย่างระมัดระวัง
ตัวอย่างเหตุการณ์จริงของราคาทะลุกรอบเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2025 เมื่อราคา Bitcoin ทะลุเหนือระดับ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเคลื่อนที่ไซด์เวย์มาหลายสัปดาห์ อ้างอิงตามการรายงานของ Blockchain.news ราคาทะลุกรอบตอนนั้นมาพร้อมปริมาณซื้อขายมหาศาล ดึงดูดทั้งสถาบันและเทรดเดอร์รายย่อยให้เข้ามาเทรด
ขั้นตอนสำคัญของการเทรดราคาทะลุกรอบ
● หาระดับแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่งบนกราฟ
● รอให้ราคาแกว่งตัวอยู่ในกรอบและเคลื่อนที่เข้าใกล้ระดับแนวรับหรือแนวต้าน
● เข้าเทรดเมื่อราคาทะลุกรอบเกิดขึ้นโดยมีปริมาณซื้อขายจำนวนมาก
● ตั้งจุด Stop Loss ไว้ในกรอบราคาก่อนหน้า
● ทยอยทำกำไรเมื่อราคาเคลื่อนที่เข้าใกล้แนวรับถัดไปหรือแนวต้านถัดไป
การเทรดราคาทะลุกรอบให้ผลตอบแทนกับผู้ที่อดทนและมีวินัย เมื่อรอให้ตลาดแสดงทิศทางที่ชัดเจน เทรดเดอร์จะสามารถจับจังหวะราคาวิ่งแรงระหว่างวัน และควบคุมความเสี่ยงได้
คำแนะนำภาพประกอบ : แนะนำให้ใช้ภาพแสดงการเทรดราคาทะลุกรอบ เช่น ใช้กราฟจาก TradingView https://www.tradingview.com/scripts/search/breakout/

กลยุทธ์ 3 – สกัลปิ้ง (Scalping)
สกัลปิ้งเป็นรูปแบบที่รวดเร็วที่สุดของการเดย์เทรด แทนที่จะถือสถานะหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์สกัลปิ้งจะทำการเทรดหลายสิบครั้งหรือหลายร้อยครั้งในวันเดียว การเทรดแต่ละครั้งมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจได้กำไรเพียงไม่กี่เซนต์หรือไม่กี่ pip แต่จะได้กำไรรวมจำนวนมากหากเทรดเดอร์ทำการเทรดอย่างต่อเนื่อง
สไตล์การเทรดแบบนี้ต้องใช้สมาธิสูง ตอบสนองรวดเร็ว และเปิดปิดคำสั่งให้ไว เทรดเดอร์สกัลปิ้งจะเทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงซึ่งมีสเปรดแคบและสลิปเพจน้อยมาก ปี 2025 ตัวเลือกสินทรัพย์ยอดนิยมสำหรับการเทรดแบบสกัลปิ้ง ได้แก่ คู่สกุลเงิน EUR/USD ในฟอเร็กซ์ และ Bitcoin หรือ Ethereum ในคริปโต เนื่องจากมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดและปริมาณซื้อขายรายวันที่สูง โดยมีการใช้ข้อมูลสมุดบันทึกคำสั่งซื้อขายระดับ 2 (Level 2 Order Book) และแพลตฟอร์มที่เข้าถึงตลาดโดยตรงเพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย
ข้อดีของสกัลปิ้งคือมีโอกาสอยู่ตลอดเวลา และไม่ต้องเสี่ยงถือสถานะข้ามคืน เพราะเทรดทั้งหมดจะถูกปิดภายในวันเดียวกัน ส่วนข้อเสียก็เห็นได้ชัดเช่นกัน ต้นทุนของการทำธุรกรรมสามารถสะสมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากเปิดปิดช้าเพียงแค่นิดเดียวก็อาจเปลี่ยนกำไรให้กลายเป็นขาดทุนได้ กลยุทธ์สกัลปิ้งต้องใช้สมาธิสูงมาก ทำให้ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง
มาดูตัวอย่างจริงที่พบได้ในตลาดฟอเร็กซ์ปี 2025 ปกติแล้วในวันเทรดทั่วไป คู่เงิน EUR/USD อาจผันผวนอยู่ในช่วง 50 pip เทรดเดอร์สกัลปิ้งอาจเข้าออกหลายครั้งในช่วงเวลานี้ ทำกำไร 3 – 5 pip ต่อเทรดด้วยการใช้เลเวอเรจที่สูงและตั้ง Stop Loss อย่างเข้มงวด เมื่อทำการเทรดหลายครั้ง กำไรเพียงเล็กน้อยเหล่านี้สามารถสะสมจนกลายเป็นกำไรจำนวนมาก
ขั้นตอนสำคัญของกลยุทธ์สกัลปิ้ง
● เน้นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงสุดและสเปรดแคบ
● เทรดบนแพลตฟอร์มที่มีการดำเนินการคำสั่งรวดเร็วและใช้ข้อมูลสมุดบันทึกคำสั่งซื้อขาย (Order Book)
● เข้าออกสถานะอย่างรวดเร็ว เน้นทำกำไรเล็กน้อย
● ตั้งระดับ Stop Loss อย่างเข้มงวดเพื่อตัดขาดทุนทันที
● เฝ้าติดตามต้นทุนของการทำธุรกรรมอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษากำไรสุทธิ
การใช้กลยุทธ์สกัลปิ้งเป็นสิ่งที่ท้าทายเพราะต้องทุ่มเท เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ชอบแรงกดดัน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความมีวินัย ความเร็ว ความสามารถในการจัดการต้นทุนควบคู่ไปกับการสะสมกำไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างต่อเนื่อง
คำแนะนำภาพประกอบ : แนะนำให้ใช้ภาพแสดงสกัลปิ้ง เช่น ใช้กราฟจาก TradingView https://www.tradingview.com/scripts/search/scalping/

กลยุทธ์ 4 – กลับสู่ค่าเฉลี่ย (Mean Reversion)
กลยุทธ์ Mean Reversion อยู่บนหลักการพื้นฐานที่ว่าราคามักกลับสู่ค่าเฉลี่ยเสมอหลังจากเบี่ยงเบนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป เมื่อสินทรัพย์อยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป เทรดเดอร์มักคาดว่าราคาจะวิ่งกลับสู่ค่าเฉลี่ยเดิมในอดีต ทำให้เป็นหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการตั้งเงื่อนไขเดย์เทรดอย่างมีวินัย
กลยุทธ์นี้จะใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ Bollinger Bands หรือออสซิเลเตอร์ เช่น RSI ตัวอย่างเช่น หากหุ้นมีการซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน ขณะที่ RSI แสดงให้เห็นสภาวะซื้อมากเกินไป เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์กลับสู่ค่าเฉลี่ย (Mean Reversion) อาจเปิดสถานะ Short เพราะคาดว่าราคาหุ้นจะวิ่งย้อนกลับ ในทางกลับกันหากคู่สกุลเงินลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและอยู่ในสภาวะขายมากเกินไป เทรดเดอร์อาจพิจารณาเข้าซื้อในสถานะ Long
ข้อดีของการเทรดแบบ Mean Reversion คือมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในตลาดที่ราคาเคลื่อนไหวภายในขอบเขต ราคามักแกว่งอยู่ในกรอบ ทำให้มีโอกาสเทรดบ่อยครั้ง ความเสี่ยงหลักๆ เกิดขึ้นเมื่อตลาดมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งกรณีดังกล่าว การเดิมพันว่าราคาจะกลับตัวอาจนำไปสู่การขาดทุนครั้งใหญ่หากราคาขยับออกห่างจากค่าเฉลี่ยไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้เทรดเดอร์จึงมักกรองสัญญาณด้วยการตรวจสอบสภาวะตลาดในภาพรวมก่อนตัดสินใจดำเนินการ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เมื่อนักวิเคราะห์ทางเทคนิคพบว่าดัชนี Nasdaq Composite อยู่ในสภาวะขายมากเกินไป เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีร่วงลงแรง และค่า RSI ลดลงใกล้ระดับจุดต่ำสุด ดัชนีมีการซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่บางค่า และมีการรีบาวด์ตามมา
ขั้นตอนสำคัญของกลยุทธ์ Mean Reversion
● ติดตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และออสซิเลเตอร์เพื่อดูว่าตลาดอยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
● เข้าเทรดเมื่อราคาเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยมากๆ
● ตั้งระดับ Stop Loss เผื่อว่าราคาจะมีความเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
● ออกตอนที่ราคาวิ่งกลับเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยอีกครั้ง
● นำวิธีนี้ไปใช้กับตลาดไซด์เวย์หรือราคาแกว่งตัวอยู่ในกรอบ
กลยุทธ์ Mean Reversion ใช้ได้ผลดีที่สุดกับตลาดที่สงบ ซึ่งสินทรัพย์เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่กำหนด กลยุทธ์นี้จะให้ผลตอบแทนกับผู้ที่อดทนและมีวินัย แต่ต้องระมัดระวังช่วงที่ตลาดมีโมเมนตัมแข็งแกร่ง
คำแนะนำภาพประกอบ – แนะนำให้ใช้ภาพแสดง Mean Reversion เช่น ใช้กราฟจาก TradingView https://www.tradingview.com/script/W5x5NL04-Mean-Reversion-Indicator/

กลยุทธ์ 5 – เทรดตามข่าว
การเทรดตามข่าวเน้นใช้ประโยชน์จากความผันผวนอย่างรุนแรงที่เกิดจากเหตุการณ์ที่กำหนดไว้แล้วหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ การตัดสินใจของธนาคารกลาง การรายงานผลประกอบการ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศ สิ่งเหล่านี้จะสร้างความผันผวนให้กับการเทรดระหว่างวัน เทรดเดอร์ที่เตรียมพร้อมและตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจะสามารถทำกำไรได้มหาศาลในช่วงเวลาเหล่านี้
การเทรดตามข่าวต้องคอยติดตามปฏิทินเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและตั้งค่าการแจ้งเตือนข้อมูลสำคัญ เช่น ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ รายงาน GDP หรือการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ในปี 2025 เครื่องมือวิเคราะห์เซนติเมนต์ที่ใช้ AI กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ช่วยให้เทรดเดอร์ประเมินการตอบสนองของตลาดได้อย่างง่ายดายภายในไม่กี่วินาทีหลังข่าวออก ตัวอย่างเช่น อัลกอริทึมสามารถประเมินคำแถลงของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) และบอกได้ว่าภาพรวมคำแถลงมีทิศทางเป็นแบบเข้มงวด (Hawkish) หรือผ่อนปรน (Dovish)
ข้อดีหลักของการเทรดตามข่าวอยู่ที่ราคาเคลื่อนไหวแรงในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งบางครั้งเพียงไม่กี่วินาที ส่วนข้อเสียคือความเสี่ยงสูงมาก สเปรดมักกว้างขึ้นระหว่างที่มีการประกาศข่าว เกิดสลิปเพจบ่อยครั้ง และราคาแกว่งตัวอย่างรุนแรงจนอาจแตะระดับ Stop Loss ก่อนที่ทิศทางตลาดจะชัดเจน ด้วยเหตุนี้ทำให้การจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
ในเดือนมกราคม 2025 ตามการรายงานของ Reuters หลังจากที่ข้อมูลตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ สูงกว่าที่คาด Fed ได้ส่งสัญญาณว่าจะคงท่าทีเป็นกลางเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ย การประกาศข่าวดังกล่าวทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นและเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เทรดเดอร์บางส่วนที่คาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยต้องเผชิญกับการขาดทุน ส่วนเทรดเดอร์ที่เดาถูกว่านโยบายจะเปลี่ยนก็สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นในช่วงที่ความคาดหวังปรับเปลี่ยน
ขั้นตอนสำคัญของกลยุทธ์เทรดตามข่าว
● ติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและเตรียมรับมือกับการประกาศข่าวสำคัญ
● ใช้เครื่องมือหรือ AI วิเคราะห์เซนติเมนต์ เพื่อตอบสนองทันที
● เตรียมรับสเปรดที่กว้างขึ้นและปรับขนาดสถานะเพื่อจำกัดความเสี่ยง
● ตั้งระดับ Stop Loss แต่เผื่อระยะห่างไว้สำหรับความผันผวน
● ออกอย่างรวดเร็วเมื่อปฏิกิริยาหลักตอบสนองข่าวที่เกิดขึ้น
การเทรดตามข่าวเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ความเสี่ยงสูงมาก มีเพียงเทรดเดอร์ที่เตรียมตัวเป็นอย่างดี ตัดสินใจรวดเร็ว และมีวินัยอย่างเคร่งครัดเท่านั้นที่จะสามารถทำเงินได้อย่างสม่ำเสมอจากโอกาสทำกำไรในช่วงเวลาสั้นๆ
คำแนะนำภาพประกอบ : ในส่วนนี้แนะนำให้เพิ่มข่าวที่เกี่ยวกับการเทรด

วิธีเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม
การเลือกกลยุทธ์เดย์เทรดที่เหมาะสมไม่ใช่การคัดลอกกลยุทธ์ที่คนอื่นใช้ได้ผล แต่เป็นเรื่องของการค้นหาวิธีการที่เหมาะกับเวลา ความสามารถในการรับความเสี่ยง และสไตล์การเทรดของตนเอง เทรดเดอร์ที่ชอบอยู่ภายใต้แรงกดดันอาจประสบความสำเร็จกับกลยุทธ์เทรดตามข่าว ส่วนผู้ที่ชอบความเป็นระบบและมีความอดทนอาจเหมาะกับกลยุทธ์กลับสู่ค่าเฉลี่ย (Mean Reversion) ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นแนวทางที่มีแบบแผนชัดเจนในการช่วยหากลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด
- กำหนดเวลาที่สามารถทุ่มให้กับการเทรด – ตัดสินใจว่าจะใช้เวลาเทรดต่อวันนานกี่ชั่วโมง กลยุทธ์สกัลปิ้งต้องติดตามตลาดอยู่ตลอดเวลา ขณะที่การเทรดราคาทะลุกรอบหรือการเทรดตามโมเมนตัมอาจใช้เวลาเฝ้าหน้าจอน้อยกว่า
- ประเมินความเสี่ยงที่รับได้ – ซื่อสัตย์กับตนเองว่าสามารถรับความผันผวนได้แค่ไหน เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเหมาะกับกลยุทธ์เทรดตามข่าวหรือกลยุทธ์เทรดตามโมเมนตัม เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมักเลือกใช้กลยุทธ์กลับสู่ค่าเฉลี่ยหรือราคาทะลุกรอบที่มีการวางแผนอย่างรัดกุม
- เลือกกลยุทธ์ให้เข้ากับนิสัย – เทรดเดอร์ที่ตัดสินใจรวดเร็วและตอบสนองไวอาจชอบกลยุทธ์สกัลปิ้ง เทรดเดอร์ที่มีความอดทน ชอบวางแผน และรอจังหวะที่ชัดเจน อาจเหมาะกับกลยุทธ์ราคาทะลุกรอบหรือกลับสู่ค่าเฉลี่ย
- เตรียมเครื่องมือและทรัพยากรที่ต้องใช้ – เทรดเดอร์สกัลปิ้งต้องใช้การเข้าถึงตลาดโดยตรงและคำสั่งซื้อขายระดับ 2 (Level 2) เทรดเดอร์ที่เทรดตามข่าวต้องมีฟีดข่าวที่รวดเร็วและเครื่องมือวิเคราะห์เซนติเมนต์ เทรดเดอร์ที่เทรดตามโมเมนตัมต้องใช้เครื่องมือสแกนสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวแรง ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีทุกอย่างพร้อมก่อนลงมือเทรด
- ทดสอบในสภาพแวดล้อมจำลอง – ฝึกใช้กลยุทธ์ที่เลือกด้วยเงินจำลอง ติดตามตัววัดผลต่างๆ เช่น อัตราชนะ อัตราส่วนกำไร และดรอว์ดาวน์ ตัดกลยุทธ์ที่ไม่เข้ากับความถนัดออกไป
- เริ่มต้นลงทุนน้อยๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป – เมื่อมั่นใจแล้ว ให้ลองเทรดจริงด้วยขนาดสถานะขั้นต่ำ แล้วค่อยเพิ่มขนาดการเทรดเมื่อสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอต่อเนื่องหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
หลักการจัดการความเสี่ยงสำหรับเทรดเดอร์แบบเดย์เทรดในปี 2025
การจัดการความเสี่ยงเป็นรากฐานของการเดย์เทรด กลยุทธ์ที่ใช้อาจแตกต่างกัน แต่หากไม่มีการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม แม้แต่แบบแผนที่ดีที่สุดก็อาจนำไปสู่การขาดทุนในพริบตา ในปี 2025 สินทรัพย์หลายตัวที่เคลื่อนไหวเร็ว เช่น ออปชันที่หมดอายุในวันเดียวกัน (Zero Day Option) สกุลเงินดิจิทัลที่ผันผวน และหุ้นความถี่สูง ต้องมีกฎที่เข้มงวดมากกว่าเดิม เป้าหมายไม่ใช่แค่ทำกำไรให้ได้เยอะที่สุด แต่ต้องสามารถปกป้องเงินทุน เพื่อให้เทรดเดอร์อยู่รอดได้จากการขาดทุนติดต่อกัน และเทรดต่อไปได้ในระยะยาว
หลักการสำคัญเกี่ยวกับเดย์เทรดมีดังนี้
● กำหนดความเสี่ยงสูงสุดต่อเทรด – จำกัดความเสี่ยงแต่ละสถานะไว้ที่ 1% – 3% ของทุนทั้งหมดในบัญชี เพื่อป้องกันไม่ให้การขาดทุนครั้งเดียวส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเงินที่เหลืออยู่
● ตั้ง Stop Loss ไว้เสมอ – วางคำสั่งหยุดขาดทุนก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง วิธีนี้จะช่วยป้องกันการตัดสินใจด้วยอารมณ์ และป้องกันไม่ให้พอร์ตเจ็บหนักเมื่อตลาดกลับตัวฉับพลัน
● ควบคุมการขาดทุนแต่ละวัน – กำหนดขีดจำกัดการขาดทุนสูงสุดต่อวัน เช่น เทรดขาดทุน 3 ครั้ง หรือขาดทุนถึงเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้ของยอดเงินในบัญชี เมื่อถึงระดับดังกล่าว ให้หยุดการเทรดวันนั้นทันที
● ปรับขนาดสถานะให้เหมาะสม – ปรับขนาดล็อตหรือขนาดสัญญาตามยอดเงินในบัญชีและความผันผวน ซึ่งปี 2025 มีเครื่องมือช่วยคำนวณขนาดสถานะโดยอัตโนมัติที่ใช้งานกันอย่างกว้างขวาง และเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์
● หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจมากเกินไป – เลเวอเรจทำให้กำไรเพิ่มขึ้นและการขาดทุนก็เพิ่มขึ้นด้วย ควรใช้เลเวอเรจพอประมาณ โดยเฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์และคริปโตที่มีความผันผวนอย่างรุนแรง
● วางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด – ควรคำนึงถึงสลิปเพจ สเปรดที่กว้างขึ้นตอนมีข่าวสำคัญ และช่องว่างราคาตลาดที่เกิดขึ้นกะทันหัน คำนวณความเสี่ยงเหล่านี้ก่อนตัดสินใจ
● ติดตามและทบทวนผลลัพธ์การเทรด – จดบันทึกการเทรด รวมถึงจุดเข้าซื้อ จุดขาย และความเสี่ยงที่ได้รับ การตรวจสอบเป็นประจำจะช่วยให้เห็นรูปแบบของการรับความเสี่ยงเกินตัว และช่วยปรับเปลี่ยนกฎการเทรดให้ดีขึ้น
เครื่องมือและแพลตฟอร์มสำหรับการเดย์เทรด 2025
ความสำเร็จของการเดย์เทรดปี 2025 เกี่ยวข้องกับการพึ่งพาเทคโนโลยี ซึ่งความเร็วการส่งคำสั่ง การเข้าถึงข้อมูล และระบบอัตโนมัติเป็นตัวกำหนดความได้เปรียบ ปัจจุบันแพลตฟอร์มเทรดได้รวมทุกอย่างไว้ในสภาพแวดล้อมเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกราฟ การวิเคราะห์ด้วย AI และการจัดการความเสี่ยง ประเภทเครื่องมือหลักๆ ที่เทรดเดอร์ทุกคนควรพิจารณามีดังนี้
การวาดกราฟและการส่งคำสั่งซื้อขายของแพลตฟอร์ม
การวาดกราฟยังคงเป็นสิ่งสำคัญของการเดย์เทรด บริการต่างๆ เช่น TradingView ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถติดตามกรอบเวลาได้หลากหลาย ใช้ตัวชี้วัดที่กำหนดเอง และตั้งการแจ้งเตือน การส่งคำสั่งซื้อขายจะได้รับการดำเนินการโดยโบรกเกอร์ เช่น IQ Option หรือ MetaTrader ซึ่งนำเสนอการส่งคำสั่งแบบทันที และมีแอปพลิเคชันให้สามารถเทรดได้อย่างยืดหยุ่น
เครื่องมือคัดกรอง AI และระบบอัตโนมัติ
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้พลิกโฉมวิธีเลือกสินทรัพย์สำหรับการเทรด ปัจจุบันเครื่องมือคัดกรองสามารถตรวจจับหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายผิดปกติ ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม หรือประเมินอารมณ์ของตลาดจากข่าวได้ในไม่กี่วินาที นอกจากนี้ เทรดเดอร์คริปโตยังได้รับประโยชน์จากบอทที่เฝ้าตลาดหาอาร์บิทราจ (Arbitrage) และการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องฉับพลัน พร้อมส่งสัญญาณไปที่แดชบอร์ดโดยตรง
การติดตามข่าวและเหตุการณ์
กลยุทธ์เทรดตามข่าวต้องใช้ความรวดเร็ว การติดตามปฏิทินเศรษฐกิจจากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Investing.com หรือ ForexFactory ช่วยให้เทรดเดอร์เตรียมรับมือกับการประกาศที่จะเกิดขึ้น ฟีดข่าวหลายแหล่งที่รวมไว้ที่เดียวจะแจ้งหัวข้อข่าวแบบเรียลไทม์ เครื่องมือวิเคราะห์อารมณ์ของตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถประเมินได้ว่าคำประกาศจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีทิศทางเป็นแบบเข้มงวด (Hawkish) หรือผ่อนปรน (Dovish)
สมุดบันทึกคำสั่งซื้อขาย (Order Book) และความลึกของตลาด
เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์สกัลปิ้งต้องอาศัยข้อมูลราคา Level 2 และเครื่องมือวัดความลึกของตลาด สิ่งเหล่านี้จะแสดงคำสั่งล่วงหน้าที่อยู่เหนือระดับราคาสูงสุดของตลาด และชี้ให้เห็นโซนที่มีสภาพคล่องหนาแน่นที่อาจเกิดจุดกลับตัวระยะสั้นหรือราคาทะลุกรอบ
เครื่องมือจัดการความเสี่ยงและการวิเคราะห์
ปัจจุบันแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะมีเครื่องมือควบคุมความเสี่ยงอยู่แล้ว รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การปรับขนาดสถานะอัตโนมัติ ขีดจำกัดการขาดทุนรายวัน และบันทึกการเทรด เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์มีวินัย การวิเคราะห์หลังการเทรดจะทำให้เทรดเดอร์สามารถตรวจสอบอัตราชนะ ปริมาณขาดทุนเฉลี่ย และความสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่ผ่านมา
สรุปส่งท้าย
การเทรดแบบเดย์เทรดปี 2025 เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดด้วยความเร็ว ความผันผวน และเทคโนโลยี กลยุทธ์เดย์เทรด เช่น การเทรดตามโมเมนตัม ราคาทะลุกรอบ สกัลปิ้ง กลับสู่ค่าเฉลี่ย และการเทรดตามข่าว ยังคงเป็นแนวทางหลักของการเทรดระหว่างวัน ซึ่งแต่ละกลยุทธ์ต้องปรับให้เข้ากับสภาวะตลาดยุคใหม่ การเพิ่มขึ้นของออปชันที่หมดอายุในวันเดียวกัน (Zero Day Option) การวิเคราะห์ด้วย AI และแพลตฟอร์มความเร็วสูงเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับเทรดเดอร์ทั่วโลก และมาพร้อมความเสี่ยงใหม่ๆ เช่นกัน
แม้ว่าเครื่องมือและแพลตฟอร์มจะเป็นส่วนสำคัญ แต่ที่สุดแล้วความสำเร็จของการเทรดจะขึ้นอยู่กับความมีวินัยและความสม่ำเสมอ การจัดการความเสี่ยงยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดที่สามารถทำกำไรได้ หากไม่มีการตั้งกฎอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับขนาดสถานะ ระดับ Stop Loss และขีดจำกัดการขาดทุนรายวัน ต่อให้ใช้กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็สามารถล้มเหลวได้เมื่อเจอแรงกดดัน ความสำเร็จระยะยาวและความล้มเหลวไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามองเห็นโอกาสเข้าเทรดได้แม่นยำแค่ไหน แต่เกี่ยวกับการควบคุมความเสียหายเมื่อเทรดไม่เป็นตามแผน
ในโลกนี้ไม่มีกลยุทธ์ที่ “ดีที่สุด” การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับนิสัยของเทรดเดอร์ เวลาที่สามารถเทรด และรับความเสี่ยงได้แค่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลือกแนวทางที่ใช่ ทดสอบอย่างละเอียด และนำไปใช้งานด้วยความมุ่งมั่น ในโลกที่ตลาดเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่เคยเป็นมา การปรับตัว ความมีวินัย และการให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงจะช่วยให้เทรดเดอร์ได้รับโอกาสมากที่สุด เพื่อเปลี่ยนโอกาสนั้นให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ
คำถามที่พบบ่อย – กลยุทธ์เดย์เทรด 2025
กลยุทธ์ไหนทำกำไรจากเดย์เทรดได้มากที่สุดในปี 2025
ไม่มีกลยุทธ์ที่สามารถ “ทำกำไรได้มากที่สุด” กลยุทธ์เทรดตามโมเมนตัมและเทรดตามข่าวอาจทำกำไรได้จำนวนมาก แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูง กลยุทธ์กลับสู่ค่าเฉลี่ยและการเทรดราคาทะลุกรอบมักมีความผันผวนของผลลัพธ์ที่ต่ำกว่า ตัวเลือกที่เหมาะที่สุดขึ้นอยู่กับนิสัยของเทรดเดอร์ เวลาเทรด และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การเริ่มต้นเดย์เทรดต้องใช้เงินเท่าไร
แตกต่างกันไปตามตลาดที่เทรด ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะมีกฎ Pattern Day Trader ที่กำหนดว่าเทรดเดอร์ต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย $25,000 ส่วนการเทรดฟอเร็กซ์และคริปโตสามารถเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินที่น้อยกว่า บางครั้งใช้เงินเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์สหรัฐ แต่ต้องจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมด้วย
เครื่องมือ AI สามารถปรับปรุงผลลัพธ์การเดย์เทรดได้จริงหรือไม่
เครื่องมือคัดกรอง AI และเครื่องมือวิเคราะห์เซนติเมนต์ช่วยให้เทรดเดอร์ตอบสนองได้เร็วขึ้นและคัดกรองโอกาสเทรด ช่วยลดเวลาหาข้อมูล และส่งสัญญาณแจ้งเตือน แต่ไม่ได้แม่นยำเสมอไป ความมีวินัยและการควบคุมความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าเครื่องมือใดๆ
จะรู้ได้อย่างไรว่ากลยุทธ์ไหนเหมาะกับตนเอง
ทดสอบกลยุทธ์ในบัญชีทดลองก่อน ติดตามผลลัพธ์หลายสัปดาห์ และพิจารณาดูว่าใช้แล้วรู้สึกสบายใจมากน้อยแค่ไหนเมื่อต้องทำตามกฎ หากกลยุทธ์เหมาะกับเวลาเทรดที่สะดวก นิสัยส่วนตัว และระดับความเสี่ยงที่รับได้ ให้นำกลยุทธ์นั้นไปใช้กับบัญชีจริงโดยเริ่มเทรดด้วยขนาดสถานะเล็กๆ
เดย์เทรดปลอดภัยกับมือใหม่หรือไม่
เดย์เทรดมีความเสี่ยงสูงและไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ที่ไม่มีการฝึกฝน เทรดเดอร์จำนวนมากสูญเสียเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีแรก ดังนั้นมือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาหาความรู้ เทรดด้วยบัญชีทดลอง และกำหนดขีดจำกัดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพก่อนที่จะเทรดด้วยเงินจริง
